เมื่อตลาดพูดเราต้องฟัง !

 เมื่อตลาดพูดเราต้องฟัง !

By Chris Puplava, July 1, 2010

มีสองอย่างที่ตลอด 10 ปีมานี้ ทำให้ผมแน่ใจคือ การซื้อแล้วถือ เป็นหนทางสู่ความหายนะในตลาดหมี หรือพูดได้อีกอย่างหนึ่งคือคุณไม่ควรจะเพิกเฉยต่อสัญญาณตลาดที่มันให้คุณ  หมายความว่าคุณต้องรู้สภาวะอากาศในการเทรดซึ่งถือเป็นศาสตร์แห่งการลงทุนที่ต้องรู้ว่าผลของการลงทุนจะแตกต่างกันในภาวะที่แตกต่างกัน กลยุทธ์ ซื้อแล้วถือถือเป็นกลยุทธ์หนึ่งที่ดีที่สุดในช่วงปีตลาดหมี(ตั้งแต่ปี 1982-2000) ขณะที่การกลยุทธ์การเทรดแบบ Trading/Market timing ใช้ได้ดีกว่าในตลาดหมี ซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2000- ปัจจุบัน ซึ่งสถานการณ์ที่ตลาดเป็นตลาดหมีหลังจากที่ตลาดหุ้นปรับตัวจากราคา High สูงสุดในปี 2000 การจัดการความเสี่ยงถือเป็นหัวใจสำคัญของการลงทุน 

Disturbing Long Term Trends

Mark Twain กล่าวว่า “ประวัติศาสตร์ไม่ได้ซ้ำรอย แต่ว่ามันเป็นจังหวะของตลาด”  ซึ่งตลาดหมีก็มีจังหวะของมันเองที่พวกมันจะมีรูปร่างและหน้าตาคล้ายกันในช่วง ๆ หนึ่ง ตลาดหมีอาจจะเกิดขึ้นกินระยะเวลา 10 -15 ปีและผมได้สร้างดัชนีที่อ้างอิงบนช่วงเวลาที่เกิดฟองสบู่ที่เรารู้จักกันดีอย่าง อย่าง Dow Jones ในช่วงปี 1929 และทองในปี 1980 และ Nikkei ในปี1989 โดยใช้ค่าเฉลี่ยของฟองสบู่จาก 3 ตลาดแล้วเขียนกราฟเปรียบเทียบข้อมูลกับตลาด NASDAQ ในปี 2000 ซึ่งรวมถึงตลาดที่เกิดจุดสูงสุดในปี 2010 และเรามีราคาต่ำสุดในช่วงปี 2013 ซึ่งทำให้ดัชนี้นี้มีความแม่นยำและสามารถทำนายจุดสูงสุดของตลาดในช่วงแรกปี 2010 ตามด้วย การลดลงของราคาก่อนจะทะลุราคาต่ำสุดในช่วงปี 2009 ซึ่งให้ผลออกมาว่าตลาดจะอยู่ในเทรนด์ขาลงไปอีกหลายปีจากนี้ 

 

Data Source: Bloomberg

 

Data Source: Bloomberg

บางคนอาจจะยกเลิกเรื่องของวงจรออกไปจากดัชนีที่สร้างขึ้นจากตลาดฟองสบู่ในอดีตเพื่อใช้ในการทำนายตลาดในอนาคตเพราะว่า ผลการเทรดในอดีตไม่สามารถกำหนดการเคลื่อนไหวในอนาคตได้  แต่ว่ามีเทรนด์ที่สอดคล้องกับช่วงเวลาในช่วงที่ตลาดเกิดจุดสูงสุดในปี 2010 เทรนด์ในตลาดหมีตั้งแต่ปี 2000 ค่อนข้างชัดเจนเมื่อกราฟแสดงถึงความสัมพันธ์ที่ชัดเจนของ S&P 500 Consumer Discretionary sector กับ  S&P 500 Consumer Staples sector  ซึ่งจากภาพแทบจะคล้ายกันในช่วงที่เกิดตลาดหมีเริ่มตั้งแต่ในช่วงปี 2000 - 2007 จนถึงปัจจุบัน นอกจากมันจะแสดงจุดต่ำสุดสูงสุดในช่องเทรนด์แชแนลแล้วขาขึ้น(เส้นสีเขียว) ในช่วงปลายปี 2008 หมายความว่าตลาดหมีกำลังเริ่มขึ้น.

 

Source: StockCharts.com

ขณะที่ภาวะตลาดหมีเริ่มขึ้นในปี 2000 เหมือนว่ามันจะเกิดตลาดหมีในตลาดหนี้เริ่มเกิดขึ้นในปี 2005  S&P 500 Financial และ Consumer Discretionary sector  ถ่วงน้ำหนักกันแล้วเปรียบเทียบกับ ราคา Low ของ  S&P 500  ใน่ช่วงต้นปี  1980s และจากจำนวนหนี้สินที่สะสมเพิ่มขึ้นทำให้เกิดแชนแนลขาขึ้น ช่องขาขึ้นนี้ถูกทำลายในปี 2008 การลดลงนั้นแทบจะต่ำที่สุดในปี 1980 ด้วยนโยบายการเพิ่มปริมาณเงิน(QE) ทำให้เกิดภาวะกลับตัวมาใกล้ช่องเทรนด์ไลน์ที่ 2 

 

Data Source: Standard & Poor’s

เราย้อนกลับมาที่ประวัติศาสตร์มักจะย้อนรอยตัวของมันเอง อีกช่องทางหนึ่งเพื่อดูภาวะฟองสบู่คือการถ่วงน้ำหนัก S&P 500 แล้วจะเห็นการเกิดฟองสบู่เกิด 2 ครั้งในช่วงศตวรรษที่ผ่านมาซึ่งสามารถเปรียบเทียบกับฟองสบู่ในปัจจุบันในตลาดที่เกี่ยวข้อง (ตลาด finance และ consumer discretion)  การใช้ฟองสบู่ ในปี 1980 และเทคโนโลยี ในปี 2000 เป็นสิ่งที่เหมาะกันเข้ากันได้ซึ่งทำนายได้ว่ามันอาจจะเกิดขาลงต่อเนื่องไปอย่างน้อยอีก 2 ปี จนถึงช่วงปี 2012 ภาพข้างล่างควรจะพิจารณาเรื่องการบริโภคมากเกินไปผ่านตลาดการเงินและ discretionary sector

 

Data Source: Standard & Poor’s

การจัดการความเสี่ยง 

ในบทความนี้ นำเสนอในเรื่องกลยุทธ์การซื้อแล้วถือไม่สามารถใช้ได้ในตลาดหมี ซึ่งการจัดการความเสี่ยงจะทำให้ตลาดที่เกิดฟองสบู่เรามีเงินเหลือเยอะขึ้น ในช่วงที่เกิดเทรนด์แชนแนลอย่างที่เรากล่าวไปตอนแรก นักลงทุนต้องใช้การจัดการความเสี่ยงเข้าช่วยเพราะเงินทุนของเราจะมีเพิ่มขึ้นเมื่อมันลงและช่วงที่มันลงเราต้องสำรองเงินของเราไว้ด้วย 

เครื่องมือจัดการความเสี่ยงหนึ่งที่มีประโยชน์ในช่วงระยะเวลา 12 เดือนคือ simple moving average (12-Mo MA) ใช้สำหรับ  S&P 500  สัญญาณ Sell จะให้สัญญาณเมื่อราคาปิดรายเดือนต่ำกว่า เส้น  12-Mo MA   การ long/short strategyจะใช้กลยุทธ์ที่ธรรมดาในการจัดการความเสี่ยงในสัญญาณ Sell  S&P 500  และ  long ในสัญญาณ  buy signal จะสามารถสร้างกำไรได้อย่างมากมายมากกว่า กลยุทธ์ B&H strategy ในตลอดชี่วงปีตลาดกระทิง 1966  ถ้าเราเริ่มด้วยเงิน  $100K ในแต่ละกลยุทธ กลยุทธ์ซื้อแล้วถือจะทำให้ได้กำไร $101K ขณะที่กลยุทธ์ 12-Mo MA ของเราจะได้กำไร  $1.83M ก่อนหักภาษี กุญแจหนึ่งเกี่ยวกับการจัดการความเสี่ยงเมื่อเปรียบเทียบกับการซื้อและถือคือการพยายามจำกัดการขาดทุน หรือการจำกัดการขาดทุนสูงสุด วินัยถือเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งแสดงในตารางข้างล่าง ซึ่งจะเห็นว่า ระบบของเราให้การขาดทุนสูงสุดเท่ากับ 13.24 % แต่การซื้อแล้วถือ เกิดสูงถึง 52.8 %.






Investment Strategy Comparison: $100K invested from 01/1966-Present

 

มาดูการจัดการความเสี่ยงในกลยุทธ์  12-Mo MA ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาในตลาดหมี แม้ว่ามันจะขึ้นเวลาขึ้นในระยะสั้น ๆ และพร้อมจะกลับตัวทุกเมื่อกัน ตัวอย่า จากที่เริ่มต้นด้วยเงิน  $100K ในปี  1966 และใช้ กลยุทธ์ซื้อแล้วถือกับตลาดหมี ในปี  1982 ซึ่งสามารถทำกำไรได้เพียง  $29.6K  ขณะที่ใช้กลยุทธ์  12-Mo MA  ซ่งทำกำไรได้มากกว่าเงินทุนเริ่มต้นของคุณที่ $123K ขณะที่ Draw down สูงสุด เกิดขึ้นที่ 46.74% ด้วยกลยุทธ์ซื้อและถือ ขณะที่กลยุทธ์  12-Mo MA system  เกิด Draw down สูงสุด 19.40% 

 

ระบบ  12-Mo MA  ยังคงมีความเสี่ยงน้อยกว่าในตลาดหมีที่เริ่มในปี 2000 ซึ่งสามารถดูได้จากผลกำไรขาดทุนจากช่องดังกล่าว ในกราฟ ซึ่งเริ่มจากเงิน $100K   ขณะที่การซื้อแล้วถือยังขาดทุน f $29.8K แต่กลยุทธ์ของเรากลับทำกำไรได้  $200K  ผลดังกล่าวสำหรับการซื้อแล้วถือ ให้กำไร  $70.2K สำหรับทุน  $300K ซึ่ง  12-Mo MA ให้กำไรมากกว่า .

 

ผมได้หยิบ  12-Mo MA มาใช้เนื่องจากราคาปิดต่ำกว่า  12-Mo MA ในกราฟ  S&P 500  ซึ่งส่งสัณญาณ Sell ในรอบ 20 ปี ตั้งแต่ ปี 1990 เกิดสัญญาณสองครั้ง ซึ่งออร์เดอร์ Sell สองออร์เดอร์ทำให้เราติดลบ ในช่วงปี 94/95 และวิกฤติเอเชียในปี 1998 Asian Currency Crisis cases  ซึ่งมีนโยบายทางการเงินที่ดีทำให้ช่วยป้องกันจากภาวะตลาดหมีได้ 

 

ซึ่งจากภาพข้างบนทำให้เห็นความจริงที่ว่าไม่มีระบบไหนที่เป็นสูตรสำเร็จและมันย่อมมีจุดบอดเกิดขึ้นเสมอเมื่อมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งอาจจะมาจาก Fed เมื่อ การตัดสินใจของ Fed Chairman Alan Greenspan  เพิ่มเงินในระบของเขา ทำให้เกิดปรากฏการที่เรียกว่า “Greenspan Put.”  ในปี  1990s  “Greenspan Put” เริ่มมีบทบาทเมื่อมีการลดอัตราดอกเบี้ยและเกิดปริมาณเงินขยายตัวทำให้ราคาสินทรัพย์ขยายตัวตามภาพข้างล่าง 

 

ถ้าตลาดยังคงเป็นขาล แล้วระบบ  12-Mo MA ที่ให้สัญญาณจะมีจุดกลับตัวไหม? ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้ถ้า  Bernanke ใช้นโยบายการลดอัตราดอกเบี้ยจนเหลือ 0 ยิ่งไปกว่านั้นปริมาณเงินที่เพิ่มขึ้นทำให้ธุรกิจและการบริโภคไม่น่าสนใจ และการกู้เพิ่มยังทำให้หนี้สินเพื่อการบริโภคของสหรัฐสูงขึ้น ถ้าครัวเรือนไม่อยากจะกู้เพิ่มและแบงค์ไม่อยากปล่อยกู้แล้วเราจะมี QE สองไปทำไม ซึ่ง Fed จะกลายคนผู้ซื้อ ในการซื้อพันธบัตร เพราะว่ารัฐบาลได้แจกเงินหรือที่เรียกว่า  “Cash for _______” program.

ถ้าตลาดพูดให้ฟัง !!

นอกจากนี้ระบบ  12-Mo MA ยังให้สัณญาณระยะยาวที่ไม่ควรละเลย อีกระบบที่ผมให้ความสนใจคือระบบ  15/40 exponential moving average (EMA)  บนกราฟ  S&P 500 และ  S&P 500 ต่ออัตราส่วนพันธบัตร  ระบบ  15/40 EMAกับ  S&P 500  เป็นระบบที่ให้สัญญาณ  sell signal โดยใช้อัตราส่วน stock/bond ratio 15/40 weekly EMA  ซึ่งให้สัญญาณ Sell อินดิเคเตอร์  RSI รายสัปดาห์ ของกราฟ S&P 500 ซึ่งเมื่อดูอินดิเคเตอร์ทั้ง 3 ตัวนี้นักลงทุนควรจะดูแรงอ่อนตัวของตลาดในอนาคต

 

Source: StockCharts.com

นอกจากนี้ ผมยังได้พัฒนาดัชนีที่ใช้วัดสุขภาพของตลาดการเงินในสหรัฐ โดยการดูความผันผวนของตลาดการเงิน ตลาดพันธบัตร ตลาดหุ้น ตลาดค่าเงินแล้วนำทั้งหมดมาสร้าง indicator ตัวหนึ่ง ซึ่งมันให้ค่าลบในปี 1990 หมายความว่าเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ และสัญญาณที่เป็นลบในช่วงเดือน พฤษภาคมนี้ดูเหมือนจะเป็นสัญญาณไม่ดีนักต่อตลาดหุ้น.

 

Data Source: Bloomberg


Christ  Puplava

Comments